ถึงช่วงเข้าพรรษาแล้ว เหล่าชาวพุทธมักจะรวมตัวกันเพื่อทำบุญให้เป็นสิริมงคลแก่ชีวิต และเพื่อแสดงความเคารพนับถือต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยการทำบุญนั้น ก็มีอยู่หลากหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการให้ทาน การถวายสังฆทาน การใส่บาตร รวมไปถึงการถวายเพล เหล่าชาวพุทธที่ต้องการถวายเพลนั้น ต่างเตรียมอาหารคาวหวานเพื่อไปถวายให้แก่พระสงฆ์ ซึ่งสามารถถวายได้ทั้งในช่วงเช้าและช่วงเพลโดยช่วงเช้าจะอยู่ที่เวลาประมาณ 07.00 น. – 08.00 น. และช่วงเพลเวลาประมาณ 11.00 นคำพูดจาก เครื่องสล็อต. – 12.00 น.
นั่นก็หมายความว่า “พระท่านฉันอาหารเพียงแค่ 1 มื้อ ภายในเที่ยงวัน” เท่านั้น
พระต้องฉันอาหารแค่ 1 มื้อ จริงไหม? เปิดพระวินัย “โภชนวรรค”
ในพระวินัย เล่มที่ ๒ ปาจิตติยกัณฑ์ วรรคที่ ๔ ว่าด้วย “การฉันอาหาร” มีด้วยกัน ๑๐สิกขาบท ได้แก่
-
สิกขาบทที่ ๑ ห้ามฉันอาหารในโรงพักเดินทางเกิน ๑ มื้อ
ภิกษุฉัพพัคคีย์ไปฉันอาหารในโรงพักเดินทางที่คณะเจ้าของเขาจัดอาหารให้เป็นทานแก่คนเดินทางที่มาพัก แล้วเลยถือโอกาสไปพักและฉันเป็นประจำ เป็นที่ติเตียน พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุพึงฉันอาหารในโรงพักเพียงมื้อเดียว ถ้าฉันเกินกว่านั้น ต้องปาจิตตีย์ ภายหลังทรงผ่อนผันให้ภิกษุไข้ ซึ่งเดินทางต่อไปไม่ไหวฉันเกินมื้อเดียวได้.
-
สิกขาบทที่ ๒ ห้ามฉันอาหารรวมกลุ่ม
พระเทวทัตเสื่อมลาภสักการะ จึงต้องเที่ยวขออาหารเขาตามสกุล ฉันรวมกลุ่มกับบริษัทของตน มนุษย์ทั้งหลายพากันติเตียน พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุฉันอาหารรวมกันต้องอาบัติปาจิตตีย์ ภายหลังทรงผ่อนผันให้เมื่อเป็นไข้ เมื่อถึงหน้าถวายจีวร เมื่อถึงคราวทำจีวร เมื่อเดินทางไกล เมื่อไปทางเรือ เมื่อประชุมกันอยู่มาก ๆ เมื่อนักบวชเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหาร.
-
สิกขาบทที่ ๓ ห้ามรับนิมนต์แล้วไปฉันอาหารที่อื่น
กรรมกรผู้ยากจนคนหนึ่งนิมนต์ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขไปฉันที่บ้าน ภิกษุทั้งหลายไปเที่ยวบิณฑบาตฉันเสียก่อน (อาจจะเกรงว่าอาหารเลวหรือไม่พอฉัน) เมื่อไปฉันที่บ้านกรรมกรคนนั้นจึงฉันได้เพียงเล็กน้อย (เพราะอิ่มมาก่อนแล้ว) ความจริงอาหารเหลือเฟือ เพราะชาวบ้านรู้ข่าวเอาของไปช่วยมาก พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า เป็นอาบัติปาจิตตีย์ เพราะรับนิมนต์แล้วไปฉันอาหารรายอื่นก่อน ภายหลังทรงผ่อนผันให้ในยามเจ็บไข้ ในหน้าถวายจีวร ในคราวทำจีวร มอบให้ภิกษุอื่นฉันในที่นิมนต์แทน.
-
สิกขาบทที่ ๔ห้ามรับบิณฑบาตเกิน ๓บาตร
มารดานางกาณาทำขนมไว้จะให้บุตรีนำไปสู่สกุลแห่งสามี ภิกษุเข้าไปรับบิณฑบาตแล้วกลับบอกกันต่อไปให้ไปรับ นางจึงถวายจนหมด แม้ครั้งที่ ๒ ครั้งที่ ๓ ที่ทำขนมก็เกิดเรื่องทำนองนี้ จนบุตรีของนากาณาไม่ได้ไปสู่สกุลสามีสักที ทำให้เกิดความเสียหายแก่บุตรีของนาง พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุเข้าไปสู่สกุล ถ้าเขาปรารณาด้วยขนมหรือด้วยข้าวสัตตุผง เพื่อนำไปได้ตามปรารถนา พึงรับเพียงเต็ม ๒-๓ บาตร ถ้ารับเกินกว่านั้น ต้องปาจิตตีย์. ทางที่ชอบ ภิกษุรับ ๒-๓ บาตรแล้ว พึงนำไปแบ่งกับภิกษุทั้งหลาย.
-
สิกขาบทที่ ๕ ห้ามฉันอีกเมื่อฉันในที่นิมนต์เสร็จแล้ว
ภิกษุรับนิมนต์ไปฉันบ้านพราหมณ์คนหนึ่ง แล้วบางรูปไปฉันที่อื่นหรือไปรับบิณฑบาตอีก พราหมณ์ติเตียน แสดงความน้อยใจ จึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุฉันเสร็จแล้วบอกไม่รับอาหารที่เขาเพิ่มให้แล้ว เคี้ยวหรือฉันของเคี้ยวของฉัน ต้องปาจิตตีย์. ภายหลังทรงอนุญาตให้ฉันอาหารที่เป็นเดนได้.
-
สิกขาบทที่ ๖ ห้ามพูดให้ภิกษุที่ฉันแล้วฉันอีกเพื่อจับผิด
ภิกษุรูปหนึ่งรู้ว่า ภิกษุอีกรูปหนึ่งฉันในที่นิมนต์เสร็จแล้ว แกล้งแค่นไค้ให้ฉันอาหารอีก เพื่อจับผิดเธอ (ตามสิกขาบทที่ ๕) พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้ทำเช่นนั้น.
-
สิกขาบทที่ ๗ ห้ามฉันอาหารในเวลาวิกาล
ภิกษุพวก ๑๗ ฉันอาหารในเวลาวิกาล พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ฉันอาหารในเวลาวิกาล (ตั้งแต่เที่ยงไปจนรุ่งอรุณ).
-
สิกขาบทที่ ๘ ห้ามฉันอาหารที่เก็บไว้ค้างคืน
พระเวลัฏฐสีสะเก็บข้าวตากไว้ฉันในวันอื่น พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้ฉันอาหารที่เก็บไว้ค้างคืน.
-
สิกขาบทที่ ๙ ห้้ามขออาหารประณีตมาเพื่อฉันเอง
ภิกษุฉัพพัคคีย์ขออาหารประณีต คือ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย ปลา เนื้อ นมสด นมส้ม มาเพื่อฉันเอง เป็นที่ติเตียน พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ทำเช่นนั้น เว้นไว้แต่อาพาธ.
-
สิกขาบทที่ ๑๐ ห้ามฉันอาหารที่มิได้รับประเคน
ภิกษุรูปหนึ่งไม่ชอบรับอาหารที่มนุษย์ถวาย จึงไปถือเอาเครื่องเซ่น ที่เขาทิ้งไว้ตามสุสานบ้าง ตามต้นไม้บ้าง ตามหัวบันไดบ้าง มาฉัน เป็นที่ติเตียนของคนทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้ฉันอาหารที่เขามิได้ให้ (ประเคน) เว้นไว้แต่น้ำและไม้สีฟัน.
ข้อควรรู้:
*ปาจิตตีย์ คือ ชื่ออาบัติจำพวกหนึ่งจัดไว้ในจำพวกอาบัติเบา เรียกลหุกาบัติ
เมื่อดูจากพระวินัย สรุปได้ว่า
ไม่ได้มีการกำหนดจำนวนมื้ออาหาร เพียงแต่ระบุว่า ห้ามฉันอาหารในเวลาวิกาล นั่นคือตั้งแต่เที่ยงวันไปจนถึงเช้าวันถัดไปตามที่กล่าวในสิกขาบทที่ ๗ ในข้างต้น
แล้วธรรมเนียมการฉันข้าวเพียง 1 มื้อ มีที่มาจากอะไร?
การฉันข้าวมื้อเดียว ไม่ได้เป็นข้อกำหนดของพระภิกษุ แต่เป็นเพียงคำแนะนำจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ดังที่กล่าวไว้ใน พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๕ มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์, ภัททาลิสูตร คุณแห่งการฉันอาหารหนเดียว [๑๖๐] ดังนี้
พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราฉันอาหารในเวลาก่อนภัตครั้งเดียว เมื่อเราฉันอาหารในเวลาก่อนภัตครั้งเดียว ย่อมรู้สึกคุณ คือความเป็นผู้มีอาพาธน้อย มีโรคเบาบาง กายเบา มีกำลัง และอยู่สำราญ ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เธอทั้งหลายจงมา จงฉันอาหารในเวลาก่อนภัตครั้งเดียวเถิด ด้วยว่าเมื่อเธอทั้งหลายฉันอาหารในเวลาก่อนภัตครั้งเดียว จักรู้สึกคุณคือความเป็นผู้มีอาพาธน้อย มีโรคเบาบาง กายเบา มีกำลัง และอยู่สำราญ.”
ถึงแม้ในปัจจุบัน การฉันอาหารของพระภิกษุ จะมีทั้งการฉัน 1 มื้อ และ 2 มื้อ แต่ก็ไม่ได้ผิดพระวินัยแต่อย่างใด และในฐานะชาวพุทธ ก็ควรพิจารณาศึกษาพระธรรม เพื่อจะได้สร้างบุญกุศลได้อย่างถูกต้อง
ขอบคุณที่มาจาก:พระไตรปิฎก ฉบับประชาชน,พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๕ มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์